วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556
สำเพ็ง หรือไชน่าทาวน์ของเมืองไทย
สำเพ็ง สำเพ็ง
สำเพ็ง หรือไชน่าทาวน์ของเมืองไทย มีชาวจีนอาศัยอยู่จำนวนมาก ในสมัยที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) มีพระราชประสงค์ จะสร้างเมืองใหม่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจีนย้ายไปอยู่ในท้องที่วัดสำเพ็ง ภายหลังได้พระราชทานนามว่า "วัดปทุมคงคา" ซึ่งเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งในสมัยนั้น ต่อมาท้องที่บริเวณนั้นจึงถูกเรียกว่า "สำเพ็ง"
คำว่า "สำเพ็ง" บางครั้งก็จะอ่านเป็นเสียงยาวว่า "สามแพร่ง" ซึ่งเป็นความหมายเดียวกัน ขึ้นอยู่กับคนพูดว่าถนัดแบบไหนมากกว่า ในบริเวณนั้น มีวัดซึ่งมีชื่อเกี่ยวกับ "สาม" ทั้งนั้น เช่น วัดสามจีน (วัดไตรมิตร) วัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิ) และวัดสามเพ็ง สมัยก่อนคนเชียงใหม่จะมาหาโสเภณีจากสำเพ็ง ไปหากินทางเชียงใหม่ คนเมืองเหนือจึงเรียกหญิงโสเภณีเหล่านี้ ว่า "คนสำเพ็ง" หรือ "อีสำเพ็ง" ซึ่งก็หมายถึงผู้หญิงขายประเวณี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหญิงกวางตุ้ง มีชาวจีนผู้หนึ่งเล่าว่า ที่เมืองกวางตุ้งในสมัยโบราณนั้น มีผู้หญิง 2 ประเภท คือ พวกที่ถือความบริสุทธิ์เป็นเรื่องสำคัญ ใครแต่งงานและได้รับการต้อนรับ จากพ่อแม่สามีอย่างดี ก็ถือว่าเป็นผู้หญิงดี มีหน้ามีตา วิธีสังเกตก็คือ ตามธรรมเนียมเมื่อแต่งงานแล้ว ผู้เป็นภรรยาจะต้องไปเยี่ยมบ้านสามี เพื่อกราบไหว้พ่อแม่ของสามี แล้วจึงกลับมาบ้านตนอีกครั้ง ถ้าตอนกลับมาของหญิงสาวนั้น มีขบวนแห่ใหญ่โตกลับมาด้วย ก็แสดงว่าหญิงผู้นั้นบริสุทธิ์ เป็นคนมีเกียรติ และได้รับการต้อนรับจากพ่อแม่สามีอย่างดี แต่หากกลับบ้านมาอย่างเงียบเชียบ ชาวบ้านก็จะเล่าลือว่า หญิงนั้น เป็นคนไม่ดี ไม่บริสุทธิ์ ชาวจีนจึงมีสุภาษิตว่า "มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน" ส่วนอีกประเภทหนึ่ง ถือว่า เรื่องความบริสุทธิ์ เป็นเรื่องเล็ก หญิงคนไหนยิ่งผ่านชายมามาก ยิ่งเป็นคนดี มีคนต้องการกันมาก การที่มีธรรมเนียมเช่นนี้ เพราะในสมัยนั้น เมืองกวางตุ้ง มีโรคร้ายชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงวัยรุ่นทุกคนต้องเป็น หญิงที่มีอายุพอจะแต่งงานได้แล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงาน หรือยังบริสุทธิ์อยู่ก็จะเป็นโรคร้ายนี้ และทำให้ถึงแก่ความตาย เพราะโรคนี้รักษาไม่หาย มีวิธีเดียว คือ "การถ่ายโรค" โดยผู้เป็นพ่อ จะมีหน้าที่หาผู้ชาย ที่สมัครใจมาเป็นสามีชั่วคราวให้กับลูกสาวตน เพื่อ "ถ่ายโรค" ไป ถือกันว่า หญิงสาวที่ผ่านชายมามาก จะปราศจากโรค และเป็นที่ต้องการของผู้ชายบ้านเดียวกัน ดังนั้น ผู้ชายที่จะมาถ่ายโรคนั้น จึงมักเป็นคนมาจากแดนอื่นที่ไม่รู้ธรรมเนียม มีการสันนิษฐานกันว่า ในสมัยนั้น หญิงสาวชาวกวางตุ้ง คงจะหาคนมาถ่ายโรคไม่ได้ จึงได้เร่ร่อนมาเมืองไทย และตั้งสำนักขึ้นในย่านสำเพ็ง
ดูเพิ่มเติม <<คลิก>>
สำเพ็ง
สำเพ็งสมัยสร้างกรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มีการประหารนักโทษที่เป็นเจ้านาย ก็จะประหารกันที่วัดสำเพ็ง หากประหารผู้ร้าย ก็จะใช้บริเวณวัดโคก หรือ วัดพลับพลาชัย ส่วนในงานพระบรมศพนั้น เมื่อเก็บพระบมอัฐิแล้ว ก็เิชิญพระอังคารลงเรือบุษบก เรือศรีตั้งกระบวนแห่มีกลองชนะไปที่วัดสำเพ็ง แล้วเอาพระอังคารลอยที่นั่น และเมื่อช้างเผือกล้ม ก็จะเอาผ้าขาวห่อช้างที่ตาย เอาไปถ่วงที่วัดสำเพ็ง โดยใช้เรือตั้งเรือกันแห่ลากไป
นอกจากนี้ ยังมีการสันนิษฐานว่า สำเพ็งสมัยก่อน อาจเป็นทาง "สามแพร่ง" ที่คนโบราณถือว่า เวลาเขาทำบัตรพลีบวงสรวงอะไร ก็มักจะเอาเครื่องบัตรพลี หรือเครื่องเสียเคราะห์เสียกบาล ไปแขวนตามต้นไม้ หรือวางไว้แถวทางสามแพร่ง ต่อมาชาวจีนพูดเพี้ยน เป็นสำเพ็ง และ "สำเพ็ง" ในปัจจุบัน
ในอดีต สำเพ็งเป็นที่รวมของคนจีนหลายเชื้อชาติ ทังแต้จิ๋ว ไหหลำ กวางตุ้ง ที่เข้ามาเมืองไทย โดยเรือสำเภา ตามบันทึกของหมอเฮาส์ เมื่อคนจีนเหล่านั้น เข้ามาเมืองสยาม ก็ประกอบอาชีพค้าขาย จนร่ำรวยเป็นเศรษฐี บางคนได้รับการแต่งตั้งเป็นขันนางที่มีชื่อเสียง ปรากฏในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะคนจีนในย่านสำเพ็งนั้น มีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินเป็นพิเศษ ในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจาอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จสำเพ็งแทบทุกปี เพราะทรงมีพระราชดำริให้บรรดาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ทั้งไทยจีน มีโอกาสเฝ้าอย่างเสมอหน้า จึีงโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดการพระราชทานกฐินหลวงผ่านถนนสำเพ็งเป็นประจำ เริ่มแรกตำรวจ จะสั่งห้ามชาวจีนออกมารับเสด็จ ให้ซ่อนตัวอยู่ในร้าน แต่พระองค์ ทรงเห็นว่า เป็นธรรมเนียมที่ล้าสมัย และการกระทำเช่นนี้ ดูราวกับว่าเป็นคนขลาด จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ชาวจีในสำเพ็งเฝ้าอย่างใกล้ชิด และทรงทักทายอย่งไม่ถือพระองค์ ทำให้ชาวจีนสมัยนั้น เพิ่มความจงรักภักดีขึ้นเป็นอย่างมาก
สำเพ็งในปัจจุบันนี้ ยังคงเป็นย่านค้าส่งของคนจีน และได้รับการดูแลจากเทศบาลอย่างดี ทำให้มีความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย และถนนหนทางดีกว่าสมัยก่อน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น