ดันสำเพ็ง2เข้าตลาดปีหน้า ระดม4พันล้าน
นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ. เอส. พี. พร็อพเพอร์ตี้ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการ "สำเพ็ง 2" เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อระดมทุนประมาณ 3-4 พันล้านบาท สำหรับก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ คาดว่าจะยื่นแบบรายการแสดงข้อมูล (ไฟลิ่ง) ได้ในช่วงเดือนพ.ค. ปี 2557 นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมช่องทางระดมทุนด้านอื่นๆ ไว้รองรับหากบรรยากาศการลงทุนไม่เอื้ออำนวย โดยมีการศึกษาแผนการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเพียง 1 เท่า
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัท มีทุนจดทะเบียน 1.5 พันล้านบาท มีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 500 ล้านบาท รวมเป็น 2 พันล้านบาท โดยหลังการเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ตนจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนเกิน 50% สำหรับผลการดำเนินงานบริษัทมีการเติบโตของรายได้ประมาณ 10-15% ต่อปี
โดยปี 2556 คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 1 พันล้านบาท แต่ในปี 2557 คาดว่ารายได้จะโตเป็น 4 พันล้านบาท และเพิ่มเป็น 6 พันล้านบาทในปี 2558 จากยอดขายของโครงการสำเพ็ง 2 ซึ่งเป็นศูนย์การค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 140 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 8 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสามารถปิดการขายได้ทั้งหมดแล้ว แบ่งเป็นอาคารพาณิชย์ในส่วนสำเพ็ง 2 จำนวน 509 ยูนิต มูลค่า 4.5 พันล้านบาท และส่วนของสำเพ็ง 2 เซ็นเตอร์ จำนวน 414 ยูนิต มูลค่า 3.5 พันล้านบาท
"บริษัทสนใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะจะทำให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการลดลง สามารถแข่งขันได้ และทำให้ระบบการดำเนินธุรกิจมีความเป็นสากลมากขึ้น แม้ว่าปัจจุบันบริษัทจะไม่มีปัญหาสภาพคล่อง เพราะว่ามีธนาคารพาณิชย์พร้อมให้การสนับสนุนวงเงินกู้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากการเข้าตลาดแล้ว การออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่บริษัทสนใจ"
นายทนงศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทมีจุดเด่นของบริษัท คือ การทำตลาดเฉพาะกลุ่ม ไม่เน้นพัฒนาในส่วนที่มีการแข่งขันรุนแรง ทำให้บริษัทไม่กังวลกับแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว เพราะกลุ่มลูกค้าของบริษัทมีกำลังซื้อ เห็นได้จากโครงการสำเพ็ง 2 ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้าจากเยาวราช สำเพ็ง ซื้อด้วยเงินสดมากกว่าการกู้จากธนาคาร ดังนั้นจึงไม่ได้กังวลว่าจะเกิดฟองสบู่ เพราะตลาดของบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะ
สำหรับโครงการลงทุนในอนาคตของบริษัท มี 3 โครงการ คือ 1.โครงการสำเพ็ง 2 เซ็นเตอร์ บนทำเลถนนสาทร-กัลปพฤกษ์ 2.โครงการ เดอะไมอามี่ จำนวน 120 ไร่ ทำเลถนนสุขุมวิทสายเก่า หรือ บางปู ซึ่งมีแผนจะพัฒนาโครงการเป็นอาคารพาณิชย์, คอนโดมิเนียม, บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮ้าส์ และ ไลฟ์สไตล์ มอลล์ มูลค่าโครงการ 4.2 พันล้านบาท โดยโครงการ เดอะ ไมอามี่ จะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นที่พักตากอากาศติดทะเลที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด 3.โครงการอ้อมน้อยสแควร์ (แยกพุทธสาคร) ทำเลพุทธมณฑลสาย 4 ประกอบด้วยอาคารพาณิชย์ 142 ยูนิต และคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ 5 อาคาร จำนวน 812 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.7 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการ ไว้อีกหลายทำเล ที่อยู่ในระหว่างออกแบบโครงการ อาทิ ที่ดินทำเลติดถนนสุขุมวิทสายเก่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (แบริ่ง-สมุทรปราการ) ติดสถานีสายลวด จำนวน 18 ไร่ และยังมีที่ดินแปลงใหญ่ติดชายทะเล จังหวัดภูเก็ต อีกกว่า 80 ไร่ ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะขึ้นโครงการตามหัวเมืองใหญ่ เช่น อุดรธานีและขอนแก่น ซึ่งมองว่าเป็นทำเลที่จะได้รับผลดีจากการเปิดเสรีอาเซียนในปี 2558
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น