ประธานกรรมการบริหาร เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ เผยโครงการสำเพ็ง 2 ถนนกัลปพฤกษ์ทยอยเปิดบางส่วนให้ลูกค้าตกแต่งร้านเดือนกันยายนนี้ เผยปีหน้าเปิดอีก 3 โครงการ ที่บางปู สายลวด สมุทรปราการ และอีกแห่ง “อ้อมน้อยสแควร์” คอมมูนิตี้มอลล์พร้อมที่พักอาศัย ทำเลพุทธมณฑล สาย 4 แยกสาครเกษม
นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เจ้าของโครงการสำเพ็ง 2 ฝั่งซ้ายและขวาของถนนกัลปพฤกษ์ เขตบางแค มูลค่า 8 พันล้านบาท ล่าสุดปิดการขายหมดแล้ว โดยเป็นฐานลูกค้าผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ค้าปลีกและค้าส่งจากตลาดสำเพ็งเดิม โดยที่งานก่อสร้างจะทยอยแล้วเสร็จให้ลูกค้าเข้าตกแต่งร้านในเดือนกันยายนนี้ เริ่มจากเฟส 1-3 บริเวณฝั่งซ้ายของถนนกัลปพฤกษ์-สาทร เป็นอาคารพาณิชย์ 509 ยูนิต ส่วนเฟสที่ 4 อยู่ฝั่งขวาของถนนกัลปพฤกษ์-สาทร ประกอบด้วยโซนช็อปปิ้งอเวนิว โซนตลาดน้ำ 5 ภาค สำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยว และโซนร้านขายส่ง ในคอนเซ็ปต์วอล์กกิ้งสตรีตรูปแบบเดียวกับย่านการค้าในเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
ขณะเดียวกันในปลายปีนี้ ถึงปีหน้า บริษัทเตรียมเปิดตัวอีก 3 โครงการ เป็นศูนย์การค้าชุมชนและที่อยู่อาศัย มูลค่ารวม 8 พันล้านบาท เพื่อรองรับการระดมทุน 4 พันล้านบาท ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงไตรมาส 3 ประกอบด้วยทำเลถนนสุขุมวิท บางปู จ.สมุทรปราการ บนเนื้อที่ 120 ไร่ จะก่อสร้างคอนโดมิเนียม 8 ชั้น 14 อาคาร กว่า 1,500 ยูนิต และไลฟ์สไตล์มอลล์ ในแนวคิดเมืองไมอามี่ สหรัฐอเมริกา ส่วนอีกทำเลห่างกัน 4 ก.ม. เป็นคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) สถานีสายลวด ราคา 1 ล้านบาทเศษ สูง 8-12 ชั้น กว่า 1,000 ยูนิต นอกจากนี้ อีกโครงการเป็นคอมมูนิตี้มอลล์และที่อยู่อาศัยทำเลอ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เนื้อที่ 22 ไร่ ซึ่งบริษัทมั่นใจด้วยศักยภาพของประเทศไทยที่จะได้รับประโยชน์ทางตรงภายหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่าโครงการคอมมูนิตี้มอลล์และที่อยู่อาศัยทำเลอ้อมน้อยนั้น มีชื่อว่า “อ้อมน้อยสแควร์” ทำเลถนนพุทธมณฑลสาย 4 ละแวกสี่แยกสาครเกษม (ถนนพุทธมณฑล สาย 4 ถนนพุทธสาคร ตัดกับถนนเพชรเกษม) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 30 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ 3 ชั้นครึ่ง จำนวน 179 ยูนิต คอนโดมิเนียม โลว์ไรส์ จำนวน 10 อาคาร ขนาด 28-30 ตารางเมตร ราคา 9.3 แสนบาทขึ้นไป จำนวน 780 ยูนิต และคอมมูนิตี้มอลล์ พื้นที่เช่ากว่า 7,000 ตารางเมตร รวมมูลค่าโครงการ 1,780 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 3 ของปี 2556
ตลาดนัดสำเพ็งออนไลน์
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556
นิราศชมตลาดสำเพ็ง
นิราศชมตลาดสำเพ็ง
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: นายบุศย์
แต่งเมื่อต้นสมัยรัชกาลที่ ๖
บทประพันธ์
๏ แสนวิตกอกโอ้พุทโธ่เอ๋ย
ชราร่างร้างรักที่จักเชย จะทำเฉยใจก็เตือนให้เชือนแช
ตัวไม่คิดจิตมันขืนฝืนไม่หาย ตนไม่หมายใจมันมาตรประหลาดแหล
คิดถึงตนจนจะตายกายชะแร ใจไม่แก่กรรมกรรมทำกระไร
นึกสลัดตัดกิเลสถือเพศสงฆ์ ตัวคิดปลงใจมันเฟือนเชือนไถล
ทางกุศลผลนำเพราะน้ำใจ จะพาให้ดีชั่วในตัวเรา
ฉันแค้นจิตคิดหมองตรองไม่ตก ดังกลิ้งครกฝ่าฝืนขึ้นบนเขา
สารพัดขัดขวางไม่บางเบา ความโศกเศร้าเที่ยวเดินให้เพลินใจ ฯ
อ่านต่อ...
*ยังไม่ได้เพิ่มเสียงประกอบ
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: นายบุศย์
แต่งเมื่อต้นสมัยรัชกาลที่ ๖
บทประพันธ์
๏ แสนวิตกอกโอ้พุทโธ่เอ๋ย
ชราร่างร้างรักที่จักเชย จะทำเฉยใจก็เตือนให้เชือนแช
ตัวไม่คิดจิตมันขืนฝืนไม่หาย ตนไม่หมายใจมันมาตรประหลาดแหล
คิดถึงตนจนจะตายกายชะแร ใจไม่แก่กรรมกรรมทำกระไร
นึกสลัดตัดกิเลสถือเพศสงฆ์ ตัวคิดปลงใจมันเฟือนเชือนไถล
ทางกุศลผลนำเพราะน้ำใจ จะพาให้ดีชั่วในตัวเรา
ฉันแค้นจิตคิดหมองตรองไม่ตก ดังกลิ้งครกฝ่าฝืนขึ้นบนเขา
สารพัดขัดขวางไม่บางเบา ความโศกเศร้าเที่ยวเดินให้เพลินใจ ฯ
อ่านต่อ...
*ยังไม่ได้เพิ่มเสียงประกอบ
ตอนที่ 5 “แหล่งช๊อปปิ้ง แหล่งผ้า ราคาย่อมเยาว์ คือ สำเพ็ง ”
ตอนที่ 5 “แหล่งช๊อปปิ้ง แหล่งผ้า ราคาย่อมเยาว์ คือ สำเพ็ง”
สวัสดีคะ เพื่อนๆ เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน คิดถึงกันบางหรือเปล่า ตามที่สัญญาไว้เลยว่าจะพาไปช๊อปปิ้งนอกสถานที่ ลันล้า ~ ใช้มั้ยละ ที่จะไปก็คือ “สำเพ็ง” ไงคร๊า..... สำเพ็งเป็นสถานที่ 1 สำหรับช๊อปปิ้งสำหรับแม่ค้าที่มารับของไปขาย เพราะสำเพ็งเป็นแหล่งค้าของส่งอีกที่ ที่มีสินค้ามากมายให้เลือกตั้งแต่ กิ๊ฟช๊อป ยันรองเท้าแตะ และที่เป็นเอกลักษณ์ของสำเพ็งอีกอย่าง 1 คือ ผ้า นั้นเอง. . . สำเพ็งมีผ้าแทบทุกชนิดที่เราต้องการนอกจากเพื่อนต้องการอะไรแปลกที่สำเพ็งไม่มีก็ต้องหาตามแหล่งอื่นไป แต่วันนี้ฝนจะพาไปดูแหล่งงานผ้า สำหรับทำงาน Quilt กัน . . . ขอบอกว่าเดินแล้วไม่ร้อนนะค่ะ มีแอร์เย็นๆ ด้วย อิอิ ฝนชอบคร๊า ....... เราไปกันเลยดีกว่าเนอะ
China World
ที่แรกฝนจะพาไป China World ค่ะตาม China World จะอยู่ฝั่งเดี่ยวกับดิโอสยาม แต่จะถึงก่อนดิโอสยาม ใน China World จะเป็นแหล่งรวมผ้าต่างๆ และพวกอุปกรณ์เย็บผ้าต่างๆเหมือนกัน แต่ร้านที่ฝนพาไปเนี้ย ดูอุปกรณ์เย็บงานผ้า ในChina World มี ประมาณ 2-3 ร้าน ร้านจะอยู่ชั้นที่ ชั้น 2 ขึ้นไปแล้วเจอเลยค่ะ ร้านขายผ้านี้จะขายของทุกอย่างที่เกี่ยวกับงาน Quilt เวลาเปิดฝนไม่ทราบแน่ชัด ฝนไป 9.30 น. ร้านก็เปิดแล้ว ไป 10 .00 น. ร้านก็เปิด เอาเป็นว่าร้านขายผ้านี้เปิดปกติ เปิดตั้งแต่ 9.30 น. ละกันเนอะ ต่อไปร้านขายอะไหล่อุปกรณ์งาน Quilt ร้านนี้น่ารักสามารถนั้งคุยนั้งเล่นได้คนขายก็น่ารัก ซื้อของที่นี้ครบ 300 บาท ได้สแตมป์ 1 ดวง ฝนกับอาจารย์แม่ก็ขนซื้อกัน 5 5 5 5 บางครั้งก็ได้ 2 ดวงบาง 3 ดวงบาง เพื่อนลองคำนวนดูค่ะว่าดูดเงินในกระเป๋าฝนกับอาจารย์แม่ไปเท่า เอิ้กๆๆ ร้านนี้อยู่ชั้น 2 ล็อก กลางๆ มีร้านเดี่ยวคะ หาไม่อยากเลย และในชั้นเดี่ยวกัน มีร้านขายผ้าอีกร้าน ร้านขายผ้าร้านนี้ขายแต่ผ้ามันอย่างเดียวเลย ต้องตัดกันเป็นเมตร เป็นหลา ฝนกับอาจารย์แม่ไม่ค่อยได้ช๊อปร้านนี้กันซะเท่าไรเพราะต้องซื้อทีละเยอะๆ ตุนผ้าไว้เยอะเดี่ยวมันจะเก่าซะก่อน 5 5 5 ต่อไปลงมาชั้นที่ 1 ร้านนี้ก็น่ารักอีกเช่น เราจะชอบร้านขายผ้านี้เป็นพิเศษเพราะว่าร้านนี้จะมีผ้าแปลกมาขาย เป็นผ้าของ อเมริกา ลายจะสวย เนื้อผ้าดีมากๆ แถมเจ้าของร้านน่ารัก เป็น สามี ภรรยา ช่วยกันขาย ส่วนงานผ้าของร้านขายผ้านี้ รับประกันฝีมือเลยว่า สวย เนียบ ละเอียดกว่าร้านขายผ้าชั้นที่ 2 แต่ในเมื่องานออกมาสวย เนียบ ราคาก็จะสูงตามงานนั้นไปเหมือนกัน 5 5 5 5+
ในส่วนของ Chaina world หมดแล้วต่อไปเราจะไปเล่นตรอกเล็กๆ ตรงข้ามฝั่น Chaina world เห็นอาจารย์แม่พาเดิมข้ามถนนไป ฝั่งตรอกนี้เค้าเรียกว่าฝั่งหัวเม็ด ฝนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเรียกหัวเม็ด เดินเข้าไป 2 ข้างทางก็จะมีร้านขายผ้าหลากหลายชิ้น มีทั้งร้านขายผ้าในตึกและร้านขายผ้าที่เช่าหน้าร้านขาย ฝั่งนี้ก็จะขายพวกอะไหล่งานฝีมือซะส่วนมาก จะไม่ค่อยมีงานสำเร็จซะเท่าไร เวลาซื้อของฝั่งหัวเม็ดเนี้ย จะต้องซื้อแนวยกโหลกันไปเลยไม่มีแบ่งขาย ถ้าแบ่งขายก็มีบางร้านปะปลาย ราคาก็แตกต่างกันไป สำหรับงานผ้าฝั่งหัวเม็ดแล้วจะไม่ค่อยมีเพราะฝั่งนี้จะเป็นพวกอะไหล่ที่เอาไปประกอบกันเองซะมากกว่า ต่อไปข้ามไปฝั่งสำเพ็งกัน ฝั่งสำเพ็งบุกเดินเข้าไปเนี้ยจะมีแต่พวกกิ๊ฟช๊อปเยอะมาก ยิ่งพวกสาวๆ ไปเดินเนี้ย เดี่ยวจะหาฝนไม่เตือนหน๊าเพราะว่าของจุกจิกเยอะเหมือนกัน สวยๆๆ ทั้งนั้นเลย แล้วแต่คนชอบแนวไหนก็ต้องเดินหากันไปว่า แบบไหน ก็เตรียมเงินในกระเป๋าไปให้พอละกันนะ คร๊า......... คอนเซ็ปมีอยู่ว่า ขาไปกระเป๋าตุง ขากลับกระเป๋าแฟ็บ ของเต็มมือ 5 5 5
สวัสดีคะ เพื่อนๆ เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน คิดถึงกันบางหรือเปล่า ตามที่สัญญาไว้เลยว่าจะพาไปช๊อปปิ้งนอกสถานที่ ลันล้า ~ ใช้มั้ยละ ที่จะไปก็คือ “สำเพ็ง” ไงคร๊า..... สำเพ็งเป็นสถานที่ 1 สำหรับช๊อปปิ้งสำหรับแม่ค้าที่มารับของไปขาย เพราะสำเพ็งเป็นแหล่งค้าของส่งอีกที่ ที่มีสินค้ามากมายให้เลือกตั้งแต่ กิ๊ฟช๊อป ยันรองเท้าแตะ และที่เป็นเอกลักษณ์ของสำเพ็งอีกอย่าง 1 คือ ผ้า นั้นเอง. . . สำเพ็งมีผ้าแทบทุกชนิดที่เราต้องการนอกจากเพื่อนต้องการอะไรแปลกที่สำเพ็งไม่มีก็ต้องหาตามแหล่งอื่นไป แต่วันนี้ฝนจะพาไปดูแหล่งงานผ้า สำหรับทำงาน Quilt กัน . . . ขอบอกว่าเดินแล้วไม่ร้อนนะค่ะ มีแอร์เย็นๆ ด้วย อิอิ ฝนชอบคร๊า ....... เราไปกันเลยดีกว่าเนอะ
China World
ที่แรกฝนจะพาไป China World ค่ะตาม China World จะอยู่ฝั่งเดี่ยวกับดิโอสยาม แต่จะถึงก่อนดิโอสยาม ใน China World จะเป็นแหล่งรวมผ้าต่างๆ และพวกอุปกรณ์เย็บผ้าต่างๆเหมือนกัน แต่ร้านที่ฝนพาไปเนี้ย ดูอุปกรณ์เย็บงานผ้า ในChina World มี ประมาณ 2-3 ร้าน ร้านจะอยู่ชั้นที่ ชั้น 2 ขึ้นไปแล้วเจอเลยค่ะ ร้านขายผ้านี้จะขายของทุกอย่างที่เกี่ยวกับงาน Quilt เวลาเปิดฝนไม่ทราบแน่ชัด ฝนไป 9.30 น. ร้านก็เปิดแล้ว ไป 10 .00 น. ร้านก็เปิด เอาเป็นว่าร้านขายผ้านี้เปิดปกติ เปิดตั้งแต่ 9.30 น. ละกันเนอะ ต่อไปร้านขายอะไหล่อุปกรณ์งาน Quilt ร้านนี้น่ารักสามารถนั้งคุยนั้งเล่นได้คนขายก็น่ารัก ซื้อของที่นี้ครบ 300 บาท ได้สแตมป์ 1 ดวง ฝนกับอาจารย์แม่ก็ขนซื้อกัน 5 5 5 5 บางครั้งก็ได้ 2 ดวงบาง 3 ดวงบาง เพื่อนลองคำนวนดูค่ะว่าดูดเงินในกระเป๋าฝนกับอาจารย์แม่ไปเท่า เอิ้กๆๆ ร้านนี้อยู่ชั้น 2 ล็อก กลางๆ มีร้านเดี่ยวคะ หาไม่อยากเลย และในชั้นเดี่ยวกัน มีร้านขายผ้าอีกร้าน ร้านขายผ้าร้านนี้ขายแต่ผ้ามันอย่างเดียวเลย ต้องตัดกันเป็นเมตร เป็นหลา ฝนกับอาจารย์แม่ไม่ค่อยได้ช๊อปร้านนี้กันซะเท่าไรเพราะต้องซื้อทีละเยอะๆ ตุนผ้าไว้เยอะเดี่ยวมันจะเก่าซะก่อน 5 5 5 ต่อไปลงมาชั้นที่ 1 ร้านนี้ก็น่ารักอีกเช่น เราจะชอบร้านขายผ้านี้เป็นพิเศษเพราะว่าร้านนี้จะมีผ้าแปลกมาขาย เป็นผ้าของ อเมริกา ลายจะสวย เนื้อผ้าดีมากๆ แถมเจ้าของร้านน่ารัก เป็น สามี ภรรยา ช่วยกันขาย ส่วนงานผ้าของร้านขายผ้านี้ รับประกันฝีมือเลยว่า สวย เนียบ ละเอียดกว่าร้านขายผ้าชั้นที่ 2 แต่ในเมื่องานออกมาสวย เนียบ ราคาก็จะสูงตามงานนั้นไปเหมือนกัน 5 5 5 5+
ในส่วนของ Chaina world หมดแล้วต่อไปเราจะไปเล่นตรอกเล็กๆ ตรงข้ามฝั่น Chaina world เห็นอาจารย์แม่พาเดิมข้ามถนนไป ฝั่งตรอกนี้เค้าเรียกว่าฝั่งหัวเม็ด ฝนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเรียกหัวเม็ด เดินเข้าไป 2 ข้างทางก็จะมีร้านขายผ้าหลากหลายชิ้น มีทั้งร้านขายผ้าในตึกและร้านขายผ้าที่เช่าหน้าร้านขาย ฝั่งนี้ก็จะขายพวกอะไหล่งานฝีมือซะส่วนมาก จะไม่ค่อยมีงานสำเร็จซะเท่าไร เวลาซื้อของฝั่งหัวเม็ดเนี้ย จะต้องซื้อแนวยกโหลกันไปเลยไม่มีแบ่งขาย ถ้าแบ่งขายก็มีบางร้านปะปลาย ราคาก็แตกต่างกันไป สำหรับงานผ้าฝั่งหัวเม็ดแล้วจะไม่ค่อยมีเพราะฝั่งนี้จะเป็นพวกอะไหล่ที่เอาไปประกอบกันเองซะมากกว่า ต่อไปข้ามไปฝั่งสำเพ็งกัน ฝั่งสำเพ็งบุกเดินเข้าไปเนี้ยจะมีแต่พวกกิ๊ฟช๊อปเยอะมาก ยิ่งพวกสาวๆ ไปเดินเนี้ย เดี่ยวจะหาฝนไม่เตือนหน๊าเพราะว่าของจุกจิกเยอะเหมือนกัน สวยๆๆ ทั้งนั้นเลย แล้วแต่คนชอบแนวไหนก็ต้องเดินหากันไปว่า แบบไหน ก็เตรียมเงินในกระเป๋าไปให้พอละกันนะ คร๊า......... คอนเซ็ปมีอยู่ว่า ขาไปกระเป๋าตุง ขากลับกระเป๋าแฟ็บ ของเต็มมือ 5 5 5
65ปีแห่งการเสด็จสำเพ็ง
65ปีแห่งการเสด็จสำเพ็ง
วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 หรือเมื่อ 65 ปีก่อน มีเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย นั่นคือการเสด็จประพาสสำเพ็งของในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ซึ่งวันนี้ผมขอนำเรื่องราวที่น่าประทับใจดังกล่าวมาเล่าสู่ผู้อ่านคอลัมน์นี้ด้วยครับ
เมื่อญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองนั้น รัฐบาลก๊กมินตั๋งของจีนซึ่งร่วมกับสัมพันธมิตรในการต่อสู้กับญี่ปุ่นในช่วงสงคราม และเป็น 1 ใน 5 มหาอำนาจของโลกในเวลานั้น ได้แสดงความประสงค์ที่จะส่งทหารจีนเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย ขณะที่คนจีนบางกลุ่มในประเทศไทยเองก็เกิดความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ชนะสงคราม เนื่องจากรัฐบาลไทยสมัยสงครามเข้ากับญี่ปุ่น ดังนั้นจึงคิดว่าไทยเป็นฝ่ายแพ้สงครามด้วย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยในเวลานั้นเกรงว่าหากยินยอมให้ทหารจีนเข้ามาอาจจะเกิดปัญหาด้านความมั่นคงของไทยได้ จึงขอร้องให้ทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยปลดอาวุธตัวเอง ต่อลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบทแทน ผู้บัญชาการทหารอังกฤษ ประจำภาคตะวันออกไกล เป็นผลให้คนจีนเหล่านั้นไม่พอใจ ประกอบกับรัฐบาลจีนได้ทำสนธิสัญญาทางไมตรีครั้งแรกกับไทย และส่งเอกอัครราชทูตมาประจำที่ประเทศไทย กับประกาศนโยบายให้คนจีนที่เกิดนอกประเทศได้รับสัญชาติจีน จึงทำให้คนจีนเกิดความรู้สึกเรื่องชาตินิยมรุนแรงขึ้น ถึงกับมีการเรียกร้องสิทธิพิเศษต่างๆ จากรัฐบาลไทย นอกเหนือจากการชักธงชาติจีน และประดับรูปผู้นำจีนตามบ้านเรือนและร้านค้า
รวมทั้งทำร้ายคนไทยที่เข้าไปในย่านของคนจีน เช่น สำเพ็ง เยาวราช และถนนเจริญกรุง จึงทำให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างคนไทยกับคนจีน จนทางการต้องส่งกำลังเข้าระงับเหตุ แต่เหตุการณ์ที่ทำท่าว่าจะรุนแรง ก็กลับสงบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 และ รัชกาลที่ 9 ซึ่งขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช เสด็จพระราชดำเนินเยือนสำเพ็งอันเป็นถิ่นของคนจีน ในกรุงเทพฯ
ในช่วงสงคราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และสมเด็จพระอนุชา ประทับและทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จนิวัตพระนครในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 เมื่อทรงทราบความขัดแย้งดังกล่าวที่เกิดขึ้นจึงมีพระราชประสงค์จะเสด็จประพาสสำเพ็ง ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ
ในวันที่ 3 มิถุนายน 2489 อันเป็นวันเสด็จพระราชดำเนิน ประชาชนชาวจีนในสำเพ็งต่างพากันปีติยินดี และร่วมกันตบแต่งบ้านเรือนด้วยธงทิวและแพรพรรณ ตั้งโต๊ะบูชาด้วยเครื่องลายครามและเครื่องแก้วเจียระไน สร้างซุ้มประตูรับเสด็จด้วยดอกไม้สดประดับประดาเป็นรูปมังกรขนาดใหญ่ ตั้งแต่ปากตรอกสะพานหัน และสองฟากของสำเพ็ง มีพสกนิกรชาวจีนมาเฝ้ารับเสด็จอย่างเนืองแน่น บางครั้งได้เสด็จไปประทับในบ้านและร้านรวงที่กราบบังคมทูลเชิญ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด โดยไม่ทรงถือพระองค์ รวมเป็นเวลาที่ประพาสสำเพ็งประมาณครึ่งวัน ต่อจากนั้นได้เสด็จฯ ไปเสวยพระกระยาหารกลางวันที่สมาคมไทย-จีน ถนนสาทร และทอดพระเนตรกีฬากับการละเล่นต่างๆ ก่อนเสด็จฯ กลับ
ในหนังสือ “จากฮวงโหสู่เจ้าพระยา” จัดพิมพ์โดยธนาคารกสิกรไทย เมื่อปี พ.ศ. 2548 กล่าวว่า “มีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจหลายประการ เช่นชาวจีนสูงอายุที่มั่งคั่งคนหนึ่งในสำเพ็ง ได้นำฝุ่นทรายมาโปรยลงบนพรมที่ปูลาดไว้หน้าร้าน แล้วกราบบังคมทูลขอให้ทรงเหยียบลงบนพรมนั้น เมื่อทรงทำตามแล้ว ชาวจีนผู้นั้นก็นำฝุ่นทรายประจงใส่กระถางลายครามใบใหญ่แล้วนำขึ้นไปตั้งไว้บนโต๊ะบูชาทันที”
รัชกาลที่ 8 โปรดการเสด็จประพาสสำเพ็งมาก ทรงเล่าถึงชาวจีนคนหนึ่งซึ่งเข้าเฝ้าฯ ว่า “ฉันกำลังเดินเพลินๆ อยู่พอก้าวขาออกไป ก็มีจีนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาตรงเท้า ฉันตกใจเหลียวมาดู เห็นเขากอบเอาขี้ฝุ่นตรงที่ฉันเหยียบมาใหม่ๆ ใส่มือแล้วเอาใส่ห่อผ้าเช็ดหน้าไว้ ถามดูได้ความว่าจะเอาไปบูชา”
การเสด็จประพาสสำเพ็ง ของในหลวงทั้งสองพระองค์ เมื่อ 65 ปีที่แล้ว นับเป็นการสมานรอยร้าวของพี่น้องจีน-ไทยในครั้งนั้นให้คืนสู่ปกติอย่างน่าอัศจรรย์ และพี่น้องทั้งสองสายเลือดก็ได้ร่วมกันสร้างประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้ามาตราบเท่าทุกวันนี้
วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2489 หรือเมื่อ 65 ปีก่อน มีเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย นั่นคือการเสด็จประพาสสำเพ็งของในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ซึ่งวันนี้ผมขอนำเรื่องราวที่น่าประทับใจดังกล่าวมาเล่าสู่ผู้อ่านคอลัมน์นี้ด้วยครับ
เมื่อญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองนั้น รัฐบาลก๊กมินตั๋งของจีนซึ่งร่วมกับสัมพันธมิตรในการต่อสู้กับญี่ปุ่นในช่วงสงคราม และเป็น 1 ใน 5 มหาอำนาจของโลกในเวลานั้น ได้แสดงความประสงค์ที่จะส่งทหารจีนเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย ขณะที่คนจีนบางกลุ่มในประเทศไทยเองก็เกิดความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ชนะสงคราม เนื่องจากรัฐบาลไทยสมัยสงครามเข้ากับญี่ปุ่น ดังนั้นจึงคิดว่าไทยเป็นฝ่ายแพ้สงครามด้วย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยในเวลานั้นเกรงว่าหากยินยอมให้ทหารจีนเข้ามาอาจจะเกิดปัญหาด้านความมั่นคงของไทยได้ จึงขอร้องให้ทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยปลดอาวุธตัวเอง ต่อลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบทแทน ผู้บัญชาการทหารอังกฤษ ประจำภาคตะวันออกไกล เป็นผลให้คนจีนเหล่านั้นไม่พอใจ ประกอบกับรัฐบาลจีนได้ทำสนธิสัญญาทางไมตรีครั้งแรกกับไทย และส่งเอกอัครราชทูตมาประจำที่ประเทศไทย กับประกาศนโยบายให้คนจีนที่เกิดนอกประเทศได้รับสัญชาติจีน จึงทำให้คนจีนเกิดความรู้สึกเรื่องชาตินิยมรุนแรงขึ้น ถึงกับมีการเรียกร้องสิทธิพิเศษต่างๆ จากรัฐบาลไทย นอกเหนือจากการชักธงชาติจีน และประดับรูปผู้นำจีนตามบ้านเรือนและร้านค้า
รวมทั้งทำร้ายคนไทยที่เข้าไปในย่านของคนจีน เช่น สำเพ็ง เยาวราช และถนนเจริญกรุง จึงทำให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างคนไทยกับคนจีน จนทางการต้องส่งกำลังเข้าระงับเหตุ แต่เหตุการณ์ที่ทำท่าว่าจะรุนแรง ก็กลับสงบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 และ รัชกาลที่ 9 ซึ่งขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช เสด็จพระราชดำเนินเยือนสำเพ็งอันเป็นถิ่นของคนจีน ในกรุงเทพฯ
ในช่วงสงคราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และสมเด็จพระอนุชา ประทับและทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จนิวัตพระนครในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 เมื่อทรงทราบความขัดแย้งดังกล่าวที่เกิดขึ้นจึงมีพระราชประสงค์จะเสด็จประพาสสำเพ็ง ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ
ในวันที่ 3 มิถุนายน 2489 อันเป็นวันเสด็จพระราชดำเนิน ประชาชนชาวจีนในสำเพ็งต่างพากันปีติยินดี และร่วมกันตบแต่งบ้านเรือนด้วยธงทิวและแพรพรรณ ตั้งโต๊ะบูชาด้วยเครื่องลายครามและเครื่องแก้วเจียระไน สร้างซุ้มประตูรับเสด็จด้วยดอกไม้สดประดับประดาเป็นรูปมังกรขนาดใหญ่ ตั้งแต่ปากตรอกสะพานหัน และสองฟากของสำเพ็ง มีพสกนิกรชาวจีนมาเฝ้ารับเสด็จอย่างเนืองแน่น บางครั้งได้เสด็จไปประทับในบ้านและร้านรวงที่กราบบังคมทูลเชิญ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด โดยไม่ทรงถือพระองค์ รวมเป็นเวลาที่ประพาสสำเพ็งประมาณครึ่งวัน ต่อจากนั้นได้เสด็จฯ ไปเสวยพระกระยาหารกลางวันที่สมาคมไทย-จีน ถนนสาทร และทอดพระเนตรกีฬากับการละเล่นต่างๆ ก่อนเสด็จฯ กลับ
ในหนังสือ “จากฮวงโหสู่เจ้าพระยา” จัดพิมพ์โดยธนาคารกสิกรไทย เมื่อปี พ.ศ. 2548 กล่าวว่า “มีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจหลายประการ เช่นชาวจีนสูงอายุที่มั่งคั่งคนหนึ่งในสำเพ็ง ได้นำฝุ่นทรายมาโปรยลงบนพรมที่ปูลาดไว้หน้าร้าน แล้วกราบบังคมทูลขอให้ทรงเหยียบลงบนพรมนั้น เมื่อทรงทำตามแล้ว ชาวจีนผู้นั้นก็นำฝุ่นทรายประจงใส่กระถางลายครามใบใหญ่แล้วนำขึ้นไปตั้งไว้บนโต๊ะบูชาทันที”
รัชกาลที่ 8 โปรดการเสด็จประพาสสำเพ็งมาก ทรงเล่าถึงชาวจีนคนหนึ่งซึ่งเข้าเฝ้าฯ ว่า “ฉันกำลังเดินเพลินๆ อยู่พอก้าวขาออกไป ก็มีจีนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาตรงเท้า ฉันตกใจเหลียวมาดู เห็นเขากอบเอาขี้ฝุ่นตรงที่ฉันเหยียบมาใหม่ๆ ใส่มือแล้วเอาใส่ห่อผ้าเช็ดหน้าไว้ ถามดูได้ความว่าจะเอาไปบูชา”
การเสด็จประพาสสำเพ็ง ของในหลวงทั้งสองพระองค์ เมื่อ 65 ปีที่แล้ว นับเป็นการสมานรอยร้าวของพี่น้องจีน-ไทยในครั้งนั้นให้คืนสู่ปกติอย่างน่าอัศจรรย์ และพี่น้องทั้งสองสายเลือดก็ได้ร่วมกันสร้างประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้ามาตราบเท่าทุกวันนี้
ปริศนานาม..สำเพ็ง
ปริศนานาม..สำเพ็ง
ใครที่ไปไหว้หลวงพ่อทองคำ หรือหลวงพ่อสุโขทัย ที่ชั้นบนสุดของพระวิหารหลังใหม่ วัดไตรมิตร ตอนนี้ ชั้นล่างๆลงมา มีนิทรรศการตำนานการหล่อพระ และเรื่องราวของตลาดเยาวราช... เกี่ยวข้องไปถึงผู้นำในตระกูลแซ่สำคัญ ให้ดูให้ความรู้เป็นของแถมก่อนกลับบ้าน
วัดไตรมิตร ชื่อเดิมคือวัดสามจีน ตั้งอยู่ ในย่านเยาวราช ซึ่งเดิมมีชื่อเรียกตามวัดว่า วัดสำเพ็ง สมัยก่อนเรียกว่า สามเพ็ง และย่านนี้ก็มีวัดสามปลื้ม หรือวัดจักรวรรดิ นับเป็นชื่อวัดที่ขึ้นต้นด้วยสาม รวมสามแห่ง
ในหนังสือเล่าเรื่องบางกอก เล่ม 2 ส.พลายน้อย เล่าว่า วัดสำเพ็งเป็นวัดโบราณ ในสมัยรัชกาลที่ 1 กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสถาปนาอุทิศ ถวายสมเด็จพระชนกาธิบดี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าพระราชทานนามใหม่ว่าวัดปทุมคงคา
ชื่อสำเพ็ง ในยุคสมัยหนึ่ง ถูกใช้ในคำด่าว่า "อีสำเพ็ง" เหตุเพราะแถวนั้นขึ้นชื่อในทางมีโสเภณี ถึงขนาดรัฐบาลเคยกำหนดให้เป็นเขตโสเภณี สุนทรภู่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 เติบโตในสมัยรัชกาลที่ 2 เคยเขียนถึงสำเพ็งไว้ในนิราศเมืองแกลงว่า
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำยอดเรียงเคียงขนาน มีซุ้มซอกตรอกนางจ้างประจาน ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง...
ส.พลายน้อยบอกว่า สุนทรภู่ถ้ารู้เรื่องสำเพ็ง คงจะเล่าไว้บ้างในนิราศ แต่ไม่เล่า กลับไปเล่าเรื่องโสเภณี แสดงว่า สำเพ็งขึ้นชื่อในการมีโสเภณีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2
ชื่อเสียงของผู้หญิงสำเพ็ง ยังลือเลื่องต่อมาถึงสมัยที่มีการตัดถนนเจริญกรุง ตรอกซอกแถวถนนเจริญกรุง มีซ่องโสเภณีมีชื่อเสียงติดปากคนหนุ่มสมัยนั้น นอกจากอำแดงแฟง และยายเต๊า แล้วก็ยังมียายอิ่มขาว
มีชื่ออย่างนี้ แสดงว่า มีแม่เล้าชื่ออิ่มหลายคน แต่ยายอิ่มคนนี้ที่จะขาวกว่าคนอื่น
ยายอิ่มขาวร่ำรวยมาก ขนาดมีตึกใหญ่โตรโหฐานอยู่แถวศาลเจ้าเก่า นอกจากยายอิ่ม ก็มี ยายหม่อม ซึ่งเป็นคนสร้างวิวัฒนาการโสเภณีให้ก้าวหน้า ยายหม่อมหัดหญิงโสเภณีให้เล่นงิ้วเล่นลิเก
แฟนงิ้วแฟนลิเกติดใจตัวแสดงตัวไหน อยากสนทนาความลับด้วย ก็จะต้องเสียค่า ปิดประตูให้แก่เจ้าของโรงตามระเบียบ
แนวความคิดนี้ ในสมัยต่อมาดัดแปลงเป็นเต้นระบำ อย่างที่เรียกกันว่า ระบำเก้าชั้น หรือระบำตาหรั่ง ระบำตาหรั่งขึ้นชื่อลือชามากในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ส่วนคำ "สำเพ็งเก๋ง" นั้น ไม่เพียงมีในนิราศ สุนทรภู่ ต.ว.ส.วัณณาโภ เขียนไว้ในหนังสือ นิเทศสาธกคำกลอนไว้ตอนหนึ่งว่า "อนึ่งสำเพ็งเก๋งเขามี ที่ถนน แต่ฝูงชนอาศัยความเอานามหญิง โสเภณีมี ประจำเป็นคำอิง แต่ความจริงนั้น "สำเพ็งเก๋ง" ยังมี"
ข้อควรพิเคราะห์ สำเพ็งเก๋ง คืออะไร เก๋งคือเรือนที่มีรูปหลังคาแบบศาลเจ้าจีน ชื่อสำเพ็งเก๋ง ก็คือชื่อของเก๋งแบบจีน
ส่วนคำว่า สำเพ็ง แปลว่าอะไร เคยมีผู้อธิบายว่า คำจีนแต้จิ๋ว มีคำว่าสามเผง แปลว่า ศานติทั้งสาม เมื่อถามต่อว่า ศานติทั้งสาม คืออะไร ก็ตอบกันไม่ได้ ส.พลายน้อยเข้าใจว่า น่าจะเป็นการแปลชนิดลากเข้าหาความเสียมากกว่า
เมื่อยังหาที่มาของคำ "สำเพ็ง" หรือ "สามเพ็ง" ยังไม่ได้ ส.พลายน้อยขอตั้งเป็นข้อสันนิษฐาน แถวสำเพ็งในสมัยก่อนนั้น น่าจะเป็นทาง "สามแพร่ง"
ทางสามแพร่ง คนโบราณถือกันว่าเป็นที่เปลี่ยว เวลาจะทำบัตรพลีบวงสรวงอะไร เขาก็มักจะเอาเครื่องบัตรพลี หรือเครื่องเสียเคราะห์ เสียกบาล ไปแขวนไว้บนต้นไม้ หรือวางไว้แถวทางสามแพร่ง
ฟังๆดู ทางสามแพร่งไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าใดนัก ดูมีเค้าลางของความตายเคลือบอยู่ด้วย
ส.พลายน้อยบอกว่า ที่วัดสำเพ็งในสมัยสร้างกรุงเทพฯ ใช้เป็นที่ประหารนักโทษที่เป็นเจ้านาย หากประหารผู้ร้ายชาวบ้านธรรมดา ก็จะประหารกันที่วัดโคกหรือวัดพลับพลาชัย
เมื่อมีงานพระบรมศพ เมื่อเก็บพระบรมอัฐิ แล้วก็เชิญพระอังคารลงเรือบุษบก หรือศรี ตั้งกระบวนแห่มีกลองชนะ ไปลอยอังคารที่วัดสำเพ็ง
ช้างเผือกล้มก็ทำเช่นเดียวกัน เขาจะเอาผ้าขาวห่อช้างที่ตาย มีเรือดั้งเรือกัน แห่เอาไปถ่วงที่หน้าวัดสำเพ็ง
พิจารณาตามเค้าเดิมนี้ ส.พลายน้อย บอกว่า น่าคิดว่า บริเวณนั้น หน้าวัดแต่ก่อนคงจะเป็นที่น้ำลึก ส่วนบนบกก็น่าจะเป็นทางสามแพร่ง คำสามแพร่งชาวจีน อาจเรียกเพี้ยนเป็น สำแพง และสำเพ็งไปก็ได้
ข้อสันนิษฐานนี้ ขุนวิจิตรมาตราแย้งว่า สำเพ็งไม่น่าจะมาจากคำว่า สามแพร่ง แต่น่าจะมาจากคำว่า "สามปลื้ม" มากกว่า ลิ้นคนจีนพูดคำสามปลื้มไม่ชัด จึงเพี้ยนมา เป็น "สำเพ็ง"
ส.พลายน้อยปลงทิ้งท้าย...คิดๆดูก็แปลก ชั่วเวลา 200 ปี ไม่มีใครรู้ความหมายของคำว่า "สำเพ็ง" ว่ามาจากอะไรเสียแล้ว.
ใครที่ไปไหว้หลวงพ่อทองคำ หรือหลวงพ่อสุโขทัย ที่ชั้นบนสุดของพระวิหารหลังใหม่ วัดไตรมิตร ตอนนี้ ชั้นล่างๆลงมา มีนิทรรศการตำนานการหล่อพระ และเรื่องราวของตลาดเยาวราช... เกี่ยวข้องไปถึงผู้นำในตระกูลแซ่สำคัญ ให้ดูให้ความรู้เป็นของแถมก่อนกลับบ้าน
วัดไตรมิตร ชื่อเดิมคือวัดสามจีน ตั้งอยู่ ในย่านเยาวราช ซึ่งเดิมมีชื่อเรียกตามวัดว่า วัดสำเพ็ง สมัยก่อนเรียกว่า สามเพ็ง และย่านนี้ก็มีวัดสามปลื้ม หรือวัดจักรวรรดิ นับเป็นชื่อวัดที่ขึ้นต้นด้วยสาม รวมสามแห่ง
ในหนังสือเล่าเรื่องบางกอก เล่ม 2 ส.พลายน้อย เล่าว่า วัดสำเพ็งเป็นวัดโบราณ ในสมัยรัชกาลที่ 1 กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสถาปนาอุทิศ ถวายสมเด็จพระชนกาธิบดี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าพระราชทานนามใหม่ว่าวัดปทุมคงคา
ชื่อสำเพ็ง ในยุคสมัยหนึ่ง ถูกใช้ในคำด่าว่า "อีสำเพ็ง" เหตุเพราะแถวนั้นขึ้นชื่อในทางมีโสเภณี ถึงขนาดรัฐบาลเคยกำหนดให้เป็นเขตโสเภณี สุนทรภู่เกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 เติบโตในสมัยรัชกาลที่ 2 เคยเขียนถึงสำเพ็งไว้ในนิราศเมืองแกลงว่า
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำยอดเรียงเคียงขนาน มีซุ้มซอกตรอกนางจ้างประจาน ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง...
ส.พลายน้อยบอกว่า สุนทรภู่ถ้ารู้เรื่องสำเพ็ง คงจะเล่าไว้บ้างในนิราศ แต่ไม่เล่า กลับไปเล่าเรื่องโสเภณี แสดงว่า สำเพ็งขึ้นชื่อในการมีโสเภณีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2
ชื่อเสียงของผู้หญิงสำเพ็ง ยังลือเลื่องต่อมาถึงสมัยที่มีการตัดถนนเจริญกรุง ตรอกซอกแถวถนนเจริญกรุง มีซ่องโสเภณีมีชื่อเสียงติดปากคนหนุ่มสมัยนั้น นอกจากอำแดงแฟง และยายเต๊า แล้วก็ยังมียายอิ่มขาว
มีชื่ออย่างนี้ แสดงว่า มีแม่เล้าชื่ออิ่มหลายคน แต่ยายอิ่มคนนี้ที่จะขาวกว่าคนอื่น
ยายอิ่มขาวร่ำรวยมาก ขนาดมีตึกใหญ่โตรโหฐานอยู่แถวศาลเจ้าเก่า นอกจากยายอิ่ม ก็มี ยายหม่อม ซึ่งเป็นคนสร้างวิวัฒนาการโสเภณีให้ก้าวหน้า ยายหม่อมหัดหญิงโสเภณีให้เล่นงิ้วเล่นลิเก
แฟนงิ้วแฟนลิเกติดใจตัวแสดงตัวไหน อยากสนทนาความลับด้วย ก็จะต้องเสียค่า ปิดประตูให้แก่เจ้าของโรงตามระเบียบ
แนวความคิดนี้ ในสมัยต่อมาดัดแปลงเป็นเต้นระบำ อย่างที่เรียกกันว่า ระบำเก้าชั้น หรือระบำตาหรั่ง ระบำตาหรั่งขึ้นชื่อลือชามากในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ส่วนคำ "สำเพ็งเก๋ง" นั้น ไม่เพียงมีในนิราศ สุนทรภู่ ต.ว.ส.วัณณาโภ เขียนไว้ในหนังสือ นิเทศสาธกคำกลอนไว้ตอนหนึ่งว่า "อนึ่งสำเพ็งเก๋งเขามี ที่ถนน แต่ฝูงชนอาศัยความเอานามหญิง โสเภณีมี ประจำเป็นคำอิง แต่ความจริงนั้น "สำเพ็งเก๋ง" ยังมี"
ข้อควรพิเคราะห์ สำเพ็งเก๋ง คืออะไร เก๋งคือเรือนที่มีรูปหลังคาแบบศาลเจ้าจีน ชื่อสำเพ็งเก๋ง ก็คือชื่อของเก๋งแบบจีน
ส่วนคำว่า สำเพ็ง แปลว่าอะไร เคยมีผู้อธิบายว่า คำจีนแต้จิ๋ว มีคำว่าสามเผง แปลว่า ศานติทั้งสาม เมื่อถามต่อว่า ศานติทั้งสาม คืออะไร ก็ตอบกันไม่ได้ ส.พลายน้อยเข้าใจว่า น่าจะเป็นการแปลชนิดลากเข้าหาความเสียมากกว่า
เมื่อยังหาที่มาของคำ "สำเพ็ง" หรือ "สามเพ็ง" ยังไม่ได้ ส.พลายน้อยขอตั้งเป็นข้อสันนิษฐาน แถวสำเพ็งในสมัยก่อนนั้น น่าจะเป็นทาง "สามแพร่ง"
ทางสามแพร่ง คนโบราณถือกันว่าเป็นที่เปลี่ยว เวลาจะทำบัตรพลีบวงสรวงอะไร เขาก็มักจะเอาเครื่องบัตรพลี หรือเครื่องเสียเคราะห์ เสียกบาล ไปแขวนไว้บนต้นไม้ หรือวางไว้แถวทางสามแพร่ง
ฟังๆดู ทางสามแพร่งไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าใดนัก ดูมีเค้าลางของความตายเคลือบอยู่ด้วย
ส.พลายน้อยบอกว่า ที่วัดสำเพ็งในสมัยสร้างกรุงเทพฯ ใช้เป็นที่ประหารนักโทษที่เป็นเจ้านาย หากประหารผู้ร้ายชาวบ้านธรรมดา ก็จะประหารกันที่วัดโคกหรือวัดพลับพลาชัย
เมื่อมีงานพระบรมศพ เมื่อเก็บพระบรมอัฐิ แล้วก็เชิญพระอังคารลงเรือบุษบก หรือศรี ตั้งกระบวนแห่มีกลองชนะ ไปลอยอังคารที่วัดสำเพ็ง
ช้างเผือกล้มก็ทำเช่นเดียวกัน เขาจะเอาผ้าขาวห่อช้างที่ตาย มีเรือดั้งเรือกัน แห่เอาไปถ่วงที่หน้าวัดสำเพ็ง
พิจารณาตามเค้าเดิมนี้ ส.พลายน้อย บอกว่า น่าคิดว่า บริเวณนั้น หน้าวัดแต่ก่อนคงจะเป็นที่น้ำลึก ส่วนบนบกก็น่าจะเป็นทางสามแพร่ง คำสามแพร่งชาวจีน อาจเรียกเพี้ยนเป็น สำแพง และสำเพ็งไปก็ได้
ข้อสันนิษฐานนี้ ขุนวิจิตรมาตราแย้งว่า สำเพ็งไม่น่าจะมาจากคำว่า สามแพร่ง แต่น่าจะมาจากคำว่า "สามปลื้ม" มากกว่า ลิ้นคนจีนพูดคำสามปลื้มไม่ชัด จึงเพี้ยนมา เป็น "สำเพ็ง"
ส.พลายน้อยปลงทิ้งท้าย...คิดๆดูก็แปลก ชั่วเวลา 200 ปี ไม่มีใครรู้ความหมายของคำว่า "สำเพ็ง" ว่ามาจากอะไรเสียแล้ว.
กลุ่มทุน"สำเพ็ง2"บุกค้าปลีกเต็มตัว เตรียมเข้าตลาดหุ้น/เปิดคอมมิวนิตี้มอลล์เสริมทัพ
กลุ่มทุน"สำเพ็ง2"บุกค้าปลีกเต็มตัว เตรียมเข้าตลาดหุ้น/เปิดคอมมิวนิตี้มอลล์เสริมทัพ
กลุ่ม ทุนอสังหาฯ เจ.เอส.พี.กรุ๊ป ติดใจโมเดลค้าปลีกหลังนำร่องโครงการสำเพ็ง 2 ดีมานด์ทะลัก ไล่เก็บพื้นที่เพิ่มส่งคอนเซ็ปต์ตลาดน้ำ-คอมมิวนิตี้มอลล์ เสริมอาณาจักร 120 ไร่บนถนนกัลปพฤกษ์ เพิ่มทีมงานเปิด "คอมมิวนิตี้ มอลล์" 3 แห่งรวด เตรียมแต่งตัวเข้าตลาดต้นปีหน้า
นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจ.เอส.พี.กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ปรับโครงการภายในองค์กรเพื่อรับการแข่งขันและการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะการขยายไลน์ธุรกิจมาสู่รูปแบบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับ ตลาดค้าปลีกมากขึ้น ซึ่งจะนำร่องเปิดโมเดลคอมมิวนิตี้มอลล์ใน 3 สาขาแรก คือ ส่วนต่อขยายในโครงการสำเพ็ง 2, คอมมิวนิตี้มอลล์ที่อ้อมน้อย จ.นครปฐม และอีก 1 แห่งที่บางปู จ.สมุทรปราการ
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมที่จะเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้น โดยอยู่ระหว่างการเลือกที่ปรึกษาทางด้านการเงิน เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ในช่วงกลางปีหน้า และกระจายหุ้นได้ในช่วงปลายปีสำหรับนำมาลงทุนและขยายธุรกิจ ซึ่งจะเริ่มพัฒนาในส่วนต่อขยายโครงการสำเพ็ง 2 มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 120 ไร่ หลังจากเฟสแรกขายพื้นที่ไปเกือบหมดแล้ว
คีย์ แมนสำเพ็ง 2 กล่าวว่า จะเริ่มลงมือก่อสร้างในเฟส 2 ที่เป็นฝั่งตรงข้ามเพื่อพัฒนาเป็นโครงการโรงแรมและคอนโดมิเนียม รวมถึงพื้นที่คอมมิวนิตี้มอลล์เต็มรูปแบบ และมีตลาดน้ำ 5 ภาค, นิว ไซน่า ทาวน์ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติเข้าไปใช้บริการ หลังจากนั้น จะเป็นการพัฒนาโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์ที่ไปพร้อมกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ ของบริษัทที่อ้อมน้อย จ.นครปฐม และเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองที่ ออกไปโดยรอบ โดยเฉพาะตามเส้นทางรถไฟฟ้า บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์ "เดอะไมอามี่" ซึ่งมีทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวรวมในพื้นที่เดียวกัน 120 ไร่ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในสมุทรปราการ ซึ่งทั้ง 3 โครงการมีมูลค่าการลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท
กลุ่ม ทุนอสังหาฯ เจ.เอส.พี.กรุ๊ป ติดใจโมเดลค้าปลีกหลังนำร่องโครงการสำเพ็ง 2 ดีมานด์ทะลัก ไล่เก็บพื้นที่เพิ่มส่งคอนเซ็ปต์ตลาดน้ำ-คอมมิวนิตี้มอลล์ เสริมอาณาจักร 120 ไร่บนถนนกัลปพฤกษ์ เพิ่มทีมงานเปิด "คอมมิวนิตี้ มอลล์" 3 แห่งรวด เตรียมแต่งตัวเข้าตลาดต้นปีหน้า
นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เจ.เอส.พี.กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ปรับโครงการภายในองค์กรเพื่อรับการแข่งขันและการเติบโตในอนาคต โดยเฉพาะการขยายไลน์ธุรกิจมาสู่รูปแบบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์สำหรับ ตลาดค้าปลีกมากขึ้น ซึ่งจะนำร่องเปิดโมเดลคอมมิวนิตี้มอลล์ใน 3 สาขาแรก คือ ส่วนต่อขยายในโครงการสำเพ็ง 2, คอมมิวนิตี้มอลล์ที่อ้อมน้อย จ.นครปฐม และอีก 1 แห่งที่บางปู จ.สมุทรปราการ
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมที่จะเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้น โดยอยู่ระหว่างการเลือกที่ปรึกษาทางด้านการเงิน เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะสามารถยื่นไฟลิ่งได้ในช่วงกลางปีหน้า และกระจายหุ้นได้ในช่วงปลายปีสำหรับนำมาลงทุนและขยายธุรกิจ ซึ่งจะเริ่มพัฒนาในส่วนต่อขยายโครงการสำเพ็ง 2 มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 120 ไร่ หลังจากเฟสแรกขายพื้นที่ไปเกือบหมดแล้ว
คีย์ แมนสำเพ็ง 2 กล่าวว่า จะเริ่มลงมือก่อสร้างในเฟส 2 ที่เป็นฝั่งตรงข้ามเพื่อพัฒนาเป็นโครงการโรงแรมและคอนโดมิเนียม รวมถึงพื้นที่คอมมิวนิตี้มอลล์เต็มรูปแบบ และมีตลาดน้ำ 5 ภาค, นิว ไซน่า ทาวน์ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติเข้าไปใช้บริการ หลังจากนั้น จะเป็นการพัฒนาโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์ที่ไปพร้อมกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ ของบริษัทที่อ้อมน้อย จ.นครปฐม และเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองที่ ออกไปโดยรอบ โดยเฉพาะตามเส้นทางรถไฟฟ้า บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการคอมมิวนิตี้มอลล์ "เดอะไมอามี่" ซึ่งมีทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยวรวมในพื้นที่เดียวกัน 120 ไร่ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ในสมุทรปราการ ซึ่งทั้ง 3 โครงการมีมูลค่าการลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท
ประวัติสำเพ็งโดยย่อ!
สำเพ็ง ที่รู้จักกันดีในปัจจุบันก็คือถนนเศรษฐกิจที่สำคัญ ชื่อว่า "ถนนวานิช 1" ซึ่งก็ตั้งอยู่ใกล้ๆในแถบถิ่นย่านเยาวราชนั่นเอง โดยก่อนที่จะมาเป็นสำเพ็งอย่างที่เห็นในตอนนี้ เมื่อในอดีตนั้นนับได้ว่าสำเพ็งมีประวัติศาสตร์เคียงคู่กับการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เพราะแต่เดิมนั้นบรรพบุรุษของชุมชนชาวสำเพ็งตั้งถิ่นฐานกันอยู่ในพื้นที่ที่จะสร้างเป็นพระนครใหม่ด้านฝั่งตะวันออก
สำเพ็ง แหล่งการค้าของชาวจีนแห่งแรกในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจีนย้ายถิ่นฐานจากบริเวณท่าเตียนไปอยู่ ณ ที่สวนตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสำเพ็งชาวจีนได้ตั้งหลักสร้างชุมชนและย่านการค้าจนรุ่งเรืองจนขยายพื้นที่ออกไปอย่างกว้างขวาง
สำเพ็งในขณะนั้นจัดเป็นตลาดบกที่ใหญ่ที่สุดในพระนครสินค้าที่นำมาจำหน่ายจึงมีมากมายหลายประเภท เช่น เครื่องกระดาษ ของไหว้เจ้า อาหารแห้ง ปลาเค็ม ฯลฯ และด้วยความเป็นแหล่งการค้า มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นจึงทำให้เกิดปัญหาไฟไหม้อยู่บ่อยครั้ง ในปี พ.ศ. 2434 รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ถ.เยาวราชแทรกระหว่าง ถ.เจริญกรุงกับ ถ.สำเพ็ง พร้อมกับได้สร้างตึกขึ้นตลอดแนวสองฝั่งถนน ทำให้เกิดศูนย์กลางธุรกิจและการค้าแห่งใหม่บนถนนสายนี้ และเมื่อมีการตัดถนนสายอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น ทรงวาด ราชวงศ์ อนุวงศ์ ฯลฯ ขอบเขตที่เป็นใจกลางการค้าของสำเพ็งก็ถูกบีบให้ลดลงเหลืออยุ่เพียงแนว ถ.สำเพ็ง หรือที่เปลี่ยนชื่อเป็น ถ.วานิช 1 ในปัจจุบันเท่านั้น
ปัจจุบันสำเพ็งเป็นตลาดขายส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ บนพื้นที่ไม่มากเท่าไหร่นี้ประกอบไปด้วยสินค้านานาชนิด เช่น ต่างหู กิฟต์ติดผม ที่คาดผม กรอบรูป อัลบั้มรูป ผ้าขนหนู สินค้ากิ๊ฟช็อปทุกชนิด ของเล่น ตุ๊กตา ของใช้ในครัวเรือน ฯลฯ
สำเพ็ง แหล่งการค้าของชาวจีนแห่งแรกในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ชาวจีนย้ายถิ่นฐานจากบริเวณท่าเตียนไปอยู่ ณ ที่สวนตั้งแต่คลองวัดสามปลื้มไปจนถึงคลองวัดสำเพ็งชาวจีนได้ตั้งหลักสร้างชุมชนและย่านการค้าจนรุ่งเรืองจนขยายพื้นที่ออกไปอย่างกว้างขวาง
สำเพ็งในขณะนั้นจัดเป็นตลาดบกที่ใหญ่ที่สุดในพระนครสินค้าที่นำมาจำหน่ายจึงมีมากมายหลายประเภท เช่น เครื่องกระดาษ ของไหว้เจ้า อาหารแห้ง ปลาเค็ม ฯลฯ และด้วยความเป็นแหล่งการค้า มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นจึงทำให้เกิดปัญหาไฟไหม้อยู่บ่อยครั้ง ในปี พ.ศ. 2434 รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ถ.เยาวราชแทรกระหว่าง ถ.เจริญกรุงกับ ถ.สำเพ็ง พร้อมกับได้สร้างตึกขึ้นตลอดแนวสองฝั่งถนน ทำให้เกิดศูนย์กลางธุรกิจและการค้าแห่งใหม่บนถนนสายนี้ และเมื่อมีการตัดถนนสายอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น ทรงวาด ราชวงศ์ อนุวงศ์ ฯลฯ ขอบเขตที่เป็นใจกลางการค้าของสำเพ็งก็ถูกบีบให้ลดลงเหลืออยุ่เพียงแนว ถ.สำเพ็ง หรือที่เปลี่ยนชื่อเป็น ถ.วานิช 1 ในปัจจุบันเท่านั้น
ปัจจุบันสำเพ็งเป็นตลาดขายส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ บนพื้นที่ไม่มากเท่าไหร่นี้ประกอบไปด้วยสินค้านานาชนิด เช่น ต่างหู กิฟต์ติดผม ที่คาดผม กรอบรูป อัลบั้มรูป ผ้าขนหนู สินค้ากิ๊ฟช็อปทุกชนิด ของเล่น ตุ๊กตา ของใช้ในครัวเรือน ฯลฯ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)